2.08.2555

ไตรภูมิพระร่วง


"ไตรภูมิพระร่วง หรือ ไตรภูมิกถา” พระราชนิพนธ์ในพระ มหาธรรมราชาที่ 1  (พญาลิไทย)เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ ..1888 เป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อวรรณกรรม ศิลปกรรม ประเพณีสำคัญต่าง ของไทย และแทรกอยู่ในวรรณคดีไทยแทบทุกเรื่องมาตั้งแต่สมัย สุโขทัย เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ภาพจิตรกรรมฝาผนังตามวัดวาอารามต่าง  จิตรกรรมในสมุดไทย หนังสือใบลาน  การสร้างโบสถ์วิหาร พัทธสีมา ระเบียงคด การ สร้างพระเมรุมาศเป็นลักษณะของเขาพระสุเมรุ  ปราสาทราชวังต่าง   ล้วนได้แนวคิดและเรื่องมาจากไตรภูมิ
         พระมหาธรรมราชาลิไทย ทรงเป็นนักปราชญ์และนักการปกครอง มีพระปรีชารอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกา อนุฏีกา และปกรณ์พิเศษต่าง พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคม เป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ขึ้นจาก การศึกษาค้นคว้าคัมภีร์ต่าง ทางพระพุทธศาสนามากกว่า 30 คัมภีร์ มี เนื้อหากล่าวถึงจักรวาลวิทยา ปรัชญา จริยศาสตร์ ชีววิทยา และ ความคิดความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยแสดงหลักธรรมที่สำคัญคือ การ ละเว้นความชั่วประกอบกรรมดี  เป็ยกลวิธีการสอนประชาชนให้ยึด มั่นในคำสอนทางศาสนา เกรงกลัวต่อบาป ประกอบแต่กรรมดี ละเว้น กรรมชั่ว  ซึ่ง มีส่วนสำคัญในการดำรงความมั่นคงของประเทศชาติได้
        สาระสำคัญของเรื่องนื้  คือ การพรรณนาเรื่องการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายว่า  “เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้งสาม  คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิด้วยอำนาจของบุญและบาปที่ตนได้กระทำแล้ว ไตรภูมิ หรือ ภูมิทั้งสาม รวมทั้งการกำเนิดและการตายของสัตว์"  กล่าวโดยสรุปได้ ดังนี้ 
ภูมิที่ 1  : กามภูมิ  
        เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ อบายภูมิและสุคติภูมิ
        1. อบายภูมิ คือแดน แห่งความเสื่อม
  แบ่งออกเป็นภูมิ ได้แก่ 
                  นรก ภูมิ
จัดอยู่ในอบาย ภูมิอันดับที่1 เป็นดินแดนที่ปราศจากความสุขสบาย สัตว์ที่ตกลงไปสู่นรก เพราะบาปกรรมชั่วที่ตนกระทำไว้เป็นอาจิณกรรม เมื่อตกลงไปแล้วจะได้รับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ไม่มีเวลาว่างเว้นจากการทัณฑ์ทรมาน นรกมีที่ตั้งอยู่ใต้เขาตรีกูฏ มีทั้งหมด 8ขุมใหญ่ที่เรียกว่า มหานรก และยังมีขุมบริวารที่เรียกว่า อุสสทนรก อีก 128ขุม มีนรกขุมย่อยที่เรียกว่า ยมโลก อีก 320ขุม

                        เปรตภูมิ
จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่2 เป็นดินแดนที่มีแต่ความเดือดร้อนอดอยาก หิวกระหาย เปรตแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่นิยมแบ่งกันมาก คือ เปรต 12ตระกูล ที่อยู่ของเปรตนั้น อยู่ที่ซอกเขาตรีกูฏ และมีปะปนอยู่กับมนุษยโลกด้วย แต่เป็นภพที่ละเอียดกว่า เหตุที่ทำให้มาเป็นเปรต เพราะได้ทำ อกุศลกรรมประเภทตระหนี่ หวงแหนทรัพย์ เป็นหลัก การเกิดเป็นเปรตนั้นมี 2ลักษณะ คือ ผ่านมาจากมหานรก อุสสทนรก และยมโลก หรือเกิดจากมนุษย์ผู้กระทำอกุศลกรรม ละโลกแล้วไปเกิดเป็นเปรต
                  อสูรกาย 
จัดอยู่ในอบายภูมิอันดับที่3 เป็นดินแดนที่ปราศจากความร่าเริง อสุรกายมีลักษณะคล้ายกับเปรตมากแยกแยะได้ยาก และอยู่ในภพภูมิเดียวกันกับเปรต คือ ที่ซอกเขาตรีกูฏ มีรูปร่างประหลาดพิลึกกึกกือ เช่น มีหัวเป็นหมูตัวเป็นคน มีความเป็นอยู่ที่แสนยากลำบากเช่นเดียวกับเปรต คือ อยู่ด้วยความหิวกระหาย แต่หนักไปทางกระหายน้ำมากกว่าอาหาร ที่ต้องเกิดมาเป็นอสุรกายเพราะ ความโลภอยากได้ของผู้อื่นในทางมิชอบ
                  ติ รัจฉานภูมิ
เป็นอบายภูมิอันดับสุดท้าย ที่มีความทุกข์ทรมานน้อยกว่าสัตว์ที่เกิดใน นรก เปรต และอสุรกาย ที่ชื่อ เดียรัจฉาน เพราะมีลำตัวไปทางขวาง อกขนานกับพื้น และจิตใจก็ขวางจากหนทางพระนิพพานด้วย ที่อยู่ของสัตว์เดียรัจฉานนี้ อยู่ปะปนกับมนุษย์ทั่วไป
         
        ภูมิ นรกภูมิ เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทำบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ขุมด้วยกัน คือ 
         (1) สัญชีพนรก 
         (2) กาฬสุตตนรก 
         (3) สังฆาฏนรก 
         (4) โรรุวะนรก 
         (5) มหาโรรุวะนรก 
         (6) ตาปนรก 
         (7) มหาตาปนรก
         (8) อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก
        ในแต่ละนรกยังมีนรกบริวาร เช่น นรกขุมที่ชื่อโลหสิมพลี เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาผู้อื่นจะมาตกนรกขุม นี้  จะ ถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้วที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์ มีหนามเป็นเหล็กร้อนจนเป็นสีแดงมีเปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว ชายหญิงที่เป็นชู้กัน ต้องปีนขึ้นลง โดยมีนายนิรบาลเอาหอก แหลมทิ่มแทงให้ขึ้นลงวนเวียนอยู่เช่นนี้นับร้อยปีนรก
         สำหรับผู้ที่ทำบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก ก็ไปเกิดในที่อันหาความเจริญมิได้ อื่น  เช่น เกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิด เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทำไว้
        2. สุคติภูมิ เป็น ส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่ง ออกเป็นเจ็ดชั้น  คือ มนุษย์ภูมิและ สวรรค์ชั้น รวมเรียกว่า ฉกามาพจร ได้แก่  จตุ มหาราชิกาภูมิ ตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์-ไตรตรึงษ์) ยามาภูมิ ตุสิตาภูมิ (ดุสิต)  นิมมานรดี ภูมิ และ  ปร นิมมิตวสวัตดีภูมิ
      กามาพจรภูมิทั้งเจ็ดชั้น เป็นที่ตั้งอันเต็มไปด้วยกาม เป็นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นอารมณ์อันพึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีกสี่ชั้นเรียกว่า กภูมิสิบเอ็ดชั้นสาม
ภูมิที่ 2 : รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ ได้แก่ รูปพรหมสิบหกชั้น เริ่ม ตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่าสม มติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป ถ้าทิ้งหินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ ต้องใช้เวลาถึงสี่เดือนจึงจะตกลงถึงพื้
    จาก พรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่สิบเอ็ด ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ เป็น รูปพรหมที่มีรูปแปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น คือ พรหมชั้นอื่น มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟัก ครั้น หมดอายุ ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิด ตามกรรมต่อไป
        รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญีพรหม อีกห้าชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป ทุกท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้น สุทธาวาสนี้
ภูมิที่ 3  : อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ มี 4 ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บำเพ็ญเพียรจนได้ บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียก ว่าอรูปฌานซึ่งมีอยู่สี่ระดับได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจายตนะฌาน (ยึด หน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในวิญญาณัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะฌาน (ยึด หน่วงเอาความไม่มีเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน (ยึด หน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่) จะไปเกิดในแนวสัญญานา สัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้เมื่อ เสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ได้เช่นกัน
การกำเนิดและการตายของสัตว์
         การกำเนิดของสัตว์  การ เกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่อย่างด้วยกันคือ
         1.   ชลาพุช  เกิด ในครรภ์ เช่น มนุษย์และสัตว์ เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม
        2.   อัณฑชะ  เกิดในไข่ ได้แก่สัตว์เดรัจฉานบางชนิด  เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ปลา เป็นต้น
        3.   สัง เสทชะ เกิดในเถ้า ไคล   ได้แก่ สัตว์ชั้นต่ำบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป   เช่น   ไฮดรา   อมิบา เป็นต้น
        4.  โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อตายไปจะไม่มีซาก   ได้แก่   เปรต   อสูร กาย เทวดา และพรหม เป็นต้น

การตายของสัตว์ การตายมีสาเหตุสี่ประการด้วยกันคือ
       1.  อายุขยะ       เป็นการ ตายเพราะสิ้นอายุ
       2.  กรรมขยะ  เป็นการ ตายเพราะสิ้นกรรม
       3.  อุภยขยะ      เป็นการ ตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม
       4.  อุปัจเฉทกรรมขยะ    เป็นการ ตายเพราะอุบัติเหตุ
           นอกจาก นั้นแล้ว มีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ในโลกและในจักรวาล มีภูเขาพระสุเมรุราชเป็นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกำแพงน้ำสีทันดรสมุทร และ  ภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร   อิน ิมธร   กรวิก สุทัศนะ  เนมิ นธร  วิน ันตกะ  และ อัสสกัณณะ  
กล่าวถึงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลาฤดูกาล และเหตุการณ์ต่าง
          กล่าวถึงทวีปทั้งสี่ ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีแผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่สี่ผืน เรียกว่า สุวรรณทวีป กว้างได้ ,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล ๓๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ
   การกำหนดอายุของสัตว์ และโลกทั้งสามภูมิ มี กัลป์ มหากัลป์ การวินาศ การอบัติ การสร้างโลก สร้างแผ่นดินตามคติ ของพราหมณ์
     ท้ายสุดของภูมิกถา เป็นนิพพานคถาว่าด้วยนิพพานสมบัติของพระอริยะเจ้า ทั้งหลาย วิธีปฏิบัติเพื่อ บรรลุพระนิพพาน อันเป็นวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

c h a n e l